กเบื้องจาร..กุญแจไขปริศนา ถอดรหัส คืนประวัติศาสตร์ให้แผ่นดิน
- เมื่อราวกลางปีพุทธศักราช ๒๕๔๕ ที่ได้อ่านหนังสือที่มีชื่อว่า “พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา” ของท่าน “เจ้าคุณอ่ำ ธมฺมทตฺโต วัดโสมนัสวิหาร”
- ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมงานค้นคว้าที่สำคัญของท่านคือ “งานอ่านลายสือไทยจากกเบื้องจาร” โดย กเบื้องจารเหล่านั้นท่านได้รับมาจาก การขุดค้นที่เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี และที่อื่นๆ เช่น เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ศรีสัชนาลัยและพิมาย
- จากการอ่านหลายๆ รอบ และอ่านอย่างพิจารณาโดยละเอียด ทำให้ได้พบข้อความสะดุดใจในหลายจุด จึงได้พยายามเสาะหา และสอบถามจากลูกศิษย์ และผู้รับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณอ่ำ ในสมัยเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
- เพื่อที่จะสอบถามว่า ท่านได้อธิบายหรือเล่าอะไรเป็นพิเศษนอกจากที่ท่านเขียนในหนังสือ “พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา” นี้หรือไม่
- แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างเท่าใดนักใน “ข้อความที่สะดุดใจ” นั้น ซึ่งเป็นเหตุให้นำไปสู่ความสงสัยและการขยายผลการศึกษาทางลึก ถือเป็นการต่อยอดงานศึกษาของท่านเจ้าคุณอ่ำ ธมฺมทตฺโต
- ดังที่จะขอยกตัวอย่างเนื้อความในกเบื้องจารแต่เพียงบางส่วนมาให้ท่านทั้งหลายได้พินิจพิจารณา ดังนี้
ตัวอย่าง กเบื้องจาร ที่เก็บรักษาอยู่ที่วัดโสมนัสวรวิหาร กรุงเทพฯ
- บุณณมุนี ถ้ำพุทธ (ถ้ำฤษี) เราเขียนเรื่องนี้คอยภิกขุอ่ำ อันอุปัชฌายให้ชื่อว่า ธัมมทัตต คน อันพุทธกล่าวว่า ตัว ช้างปาลิเลยยกมาเกิด ธัมมทัตต จงอ่าน เขียนให้คนอ่าน (๑๖๑/๑) ธัมมทัตต บุณณผู้มุนีเขียนคำกล่าวของพุทธในวันขึ้น ๑๑ ค่ำ (เดือนอ้ายพุทธพัสสา ๒๑) เขียนคำคอยธัมวงเวที วันขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ พุทธ พัสสา ปี ๔๓ ในพัสสาเรานี้ ๒๔ (๑๖๒/๒)
- บุณณวรภิกขุ อยู่เขางู ถ้ำพุทธ เดิมอยู่ปรานของป๊อบ้านแม่กุน เดินทางถอมคธ สาวัตถี พบพุทธ ธัม สงฆ ได้ปัพพชา อุปสมบท เป็นภิกขุเมื่อพุทธพัสสา ๑๙ (๑๔๐/๑) เถรอานันท เป็นอุปัชฌาย เถรอุบาลีเป็น (ผู้) ให้ (สรณ) สีล เมื่อแล้วเข้า (หา) พุทธออกปาก(ว่า)เอหิ ภิกขุ (เธอจงเป็นภิกขุมาเถิด) เมื่อขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ พุทธพัสสา๑๙ (๑๔๐/๒)
- บุณณมุนี อยู่ถ้ำพุทธ ผู้พาพุทธมาสุนาปรันตพริบพรี น้องจุนหาพุทธกับอรหันตเดือนอ้าย พุทธพัสสา ๒๒ (๑๕๐/๑) พุทธอยู่บ้านมกุนเดือนอ้าย ขึ้น ๘ ค่ำ พัก ๒ วัน เสด็จ ผ่านเมืองทอง แล้วขึ้นถ้ำพุทธ นั่งนอน คืนวันหนึ่ง ผันทองปิณฑ (๑๕๐/๒)
- (บุณณวรมุนีเล่าเมื่อ) พุทธเดินไปถ้ำเขา ทางผ่านเมืองทองพูด ว่า เมืองทองจักเป็นเมืองสุวัณณภูมิ เมืองพุทธศาสนา (๑๕๔/๑) พุทธมาถิ่นแดนชานทาง ว่า ตรงนี้เป็นเมืองต่อเมืองสุวัณณภูมิ ห้าร้อยปี พุทธ สาสนา มั่นคงดี ต่อพันปีเป็นเมืองเล็ก พุทธสาสนาเบาบาง เหลือพุทธนิมิตร (๑๕๔/๒)
- บุณณฟังคำพุทธว่าคำไทย อันสินนี้ แม้ คน นาค ยักข ขโมย ลัก ฉ้อ บัง โกง เอาไม่ได้ สินอันตนฝังไว้นั้น (๑๘๘/๑) ผู้ให้ทุกสิ่งพอใจ ร่างงาม เสียงเพราะ สูงเยี่ยม แม้ขุนใหญ่ พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ ความคล่องความรู้ (๑๘๘/๒) พุทธเทสนไทย ไทยทุกคน แล ลว ทำเหืองดี ย่อมได้ดี เห็นดี ทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว คือ ฆ่าคน และเบียนคน ช้าง ม้า งัว ควาย (๑๙๑/๑) ถือเอาของคนอื่น ผิดผัวเมียลูกท่าน กล่าวเท็จ เมาเหล้า น้ำหมักดอง อย่างนี้ว่าชั่ว ไม่ทำอย่างนั้น ชื่อว่าทำดี เช่นไม่ฆ่ากัน เป็นต้น ชื่อดีแล (๑๙๑/๒)
- พุทธ ปุณณ เดินทาง ไปเขา สัจจพันธ พาสัจจพันธ ไป ส่งเขา สัจจพันธ อันสัจจพันธภิกขุ วอนขอ รอย ตีน อันเหยียบหินในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย เหยียบหิน เชิงเขานั้น (๑๕๕/๑)
- พุทธสร้างรอยตีน ณ หิน ทำรอยใหญ่กว่า ๓ เท่า เถรเดินภุ่มมือตลอดนั้น เสดแล้ว พระภิกขุพัน หมอบกราบพุทธ พุทธว่าเขาตีนพุทธ (๑๕๕/๒)
- ทับไททอง จอมลว้า ผู้เพื่อนเจ้ามคธพิมพิสาร ไฝ่ ท้าวสุนาปรันต ส่งบุณมุนี ผู้เจอ พุทธสาวัตถี เห็นธัมมแล้วมาเมืองทอง บอกพุทธ ธัมม สงฆ เกิดในโลกแล้ว ๒๑ ฝน คนบูชาทั่ว พิมพิสารเป็นผู้ทนุ อังค มคธ ให้กราบไหว้ องค์อรหันตสัมมาสัมพุทธ ธัมม อรหันตขีณาสพ เมืองทอง พ่อเมืองอยากเห็น เชิญมาเมืองมคธ เพื่อนเอง ในเมื่อควร (๓๘/๑)
- พ่อเมืองทับไทยทอง ปุณณมุนีผู้ฟังพิมพิสารเจ้าเมืองมคธ เหนควรไปมคธเมืองเพื่อน ปุณณมุนีเถรเป็นผู้นำทางเรือ ให้เตรียมคนพันหนึ่ง ข้าวปลาเตมพร้อม ขุนอินเมืองทอง คุ้มเมืองดอมเมียน้อยผู้น้องเมียกลาง หม่อมเมียใหญ่ หม่อมเมียกลางไปด้วย ออขุนเมืองลบลว้า นายเรือผู้คุมเรือ ๗๘ ลำ ออกเดือนยี่ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีโล ๑๑๖๙ (๓๘/๒)
- บุณณมุนี ถ้ำพุทธ ผู้แจ้งข่าว พาตัวทับไทยทอง หาพิมพิสารเมืองมคธ เพื่อนพิมพิสารพาหาเถรนนท (๑๔๗/๑) พาไปเวฬุวัน เฝ้าพุทธเทสอนุปุพพิกถาแลธัมมจัก (กัป) ปวั (ตตน) สูตต เห็นธัมมเบื้องต้นแล้ว (๑๔๗/๒)
- ปุณณมุนี นำทับไทยทอง เมื้อ ถึง ราชคห เมื่อวัน ขึ้น ๑๓ ค่ำ พุทธวัสสา ๒๓ เดือน ๓ เข้าเวฬุวัน ฟังเทสน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ (๑๕๖/๑)
- พิมพิสารรับ ทับไทยทองแล้ว ส่งไป สาวัตถี เมื่อแรม ๗ ค่ำ มี อภย (ราชา) เปนสหายเดินเถิงเมืองปัสเสน ต้อนรับแล้ว พาไปเชตวัน เหนร่างนิมิตพุทธรูป ณ เชตวันนั้น (๑๕๖/๒)
- บุณเล่า พาต้นทับไทยทอง สู้เดินถอกปิลวัตถุ ถิ่นของพุทธเดิม เดือน ๖ วัน ขึ้น ๘ ค่ำ (๓๕๑/๑) มหานาม ออนตนรับ ถึงมหาวัน ดงใหญ่ ให้พัก ที่ห้องปสาทของพุทธ ยโสธรา เคยอยู่ ต้นมหาราชาเชิญ ต้นทับไทยทอง เข้าร่วมกินข้าว (๓๕๑/๒)
- ปุณณ คนผู้นำทับไทยทอง ไปลุมพินี อันพุทธเกิด มหานามให้ช้างชื่อ อมตคช ขี่ คนเดินหมื่น ต้นมหานามเดินรถ ออกเดินนำ (๓๕๒/๑) อุทยานกว้างใหญ่ ห่างเมืองราว ๓๒๕ เส้น ทับไทยทองหาต้นสาล ปลูก รลึก เมื่อเยี่ยม เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ (พุทธพัสสา ๒๓) (๓๕๒/๒)
- ปุณณ เคยเย้มคนเผ่าศากย โดยอุปัชฌาย อานันทพาไปว่า ไทยพูดได้เหมือนกันแท้ ทับไทยทองว่าต้องไปเหน แลพูด ได้ฟังกันจิง (๓๕๓/๑) เหนหน้ากัน มหานามทักเว้าต้นเชิญขึ้นเวียงเรา ทับไทยทองค้อมหวังว่าชอบใจโตไทยสกอ แล้วเชิญเข้าเวียงพร้อมกัน (๓๕๓/๒)
- ทับไทยทอง กลับเมือง พุทธพัสสา ๒๔ แลปีโลขึ้น ๑๑๖๙ (๘๔/๑) ให้เอาคำ มคธ ว่า สุวัณณภูมิ เป็นชื่อ เมืองทอง คนไทย เมื่อ (ปี) โลได้ ๑๑๗๐ (พุทธพัสสา ๒๕) (๘๔/๒)
- โลกกนลว้า ราชาธิปตี สุวัณณภูมิ เมื่อครองเมืองพุทธกาล ๒๒๐ ขุนเมืองอู่ทองให้ลูกเป็นเมียชื่อก้านต้าเทวีเมืองทองสาวเข้า ๒๒ เมื่อพ่อให้มาเมืองทอง เดือน ๑๒ แต่งงาน เว็นเอือยขุนนางสาว (พ.ศ.๒๒๑) แม่คุมนางเดือนหนึ่ง หกคืน เมื่อลุปีกุน (พ.ศ.๒๒๒) ขึ้น ๑๕ (ค่ำ) เดือน ๘/๘ เมียคลอดลูกตวันเที่ยงตรง มีชื่อ ตวันทับฟ้าขุนเมืองไทย เมื่อเข้าชวด (พ.ศ.๒๒๓) เมียน้อย มิ่งเมืองทอง ท้องคลอดลูกญิง ชื่อ งามสายทอง เสมียนเขียนพุทธนิพพาน ๒๒๓ (๓๓/๑) โลกกนลว้า ทั้งเมียและตวันขันเอาอโศกเป็นเพื่อนผู้มีสืออ้างเป็นสหายเมือง ศิรยอมาตยามาเมืองทองส่งสือเล่าเรื่อง มีสงฆ์ปลอมบวชในพุทธจักมาก ให้ขจัดทั่วเมืองแล้ว นิมนโมคคัลลี เป็นหัวหน้าสังคายนาธัมมวินัย ที่ปาตลีปุต มคธ เชิญร่วมพิธีของอรหันตสงฆในปี ๒๓๔ อมาตยศิรยอกลับ พร้อมส่งขุนอินทรมนตรีน้อง(ไป) ปี ๒๓๓ (๓๓/๒)
- โลกกนลว้า เมืองทอง ผู้มีอโศกราชามคธเป็นเพื่อน ขุนอินทรมนตรีเมื่อร่วมสังคายนที่ ๓ ปี ๒๓๕ แล้วกลับพร้อมสือ มีความเมืองมคธ ภิกขุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีสีลยธัมงามพร้อม เมืองสุวัณณภูมิ ฆวนสงฆบริสุทธเข้า (ผ่าน) สังคายน มีความรู้ดีมาสุวัณณภูมิ จะส่งภิกขุห้าองค เดือนกัตติก คอยรับ โลกลว้าเขียนพุทธกาล ๒๔๐ (๔๒/๒)
- ญาณจรณ เล่า โสณ อันอโสกนิมนตโมคคัลลีให้มองทางสุวัณณภูมิเป็นอันดี เหนแน่แล้วรือ โมคคัลลีว่า โสณเปนผู้มีเหมาะ (๕๐๐/๑) โมคคัลลีมหาเถรว่าแก่ต้นโสณว่า ก็ ผู้เจริญไปสุวัณณภูมิ จงตั้งพุทธสาสนาให้รุ่งเรือง ให้อุปสัมปันน ทั้งปัพพัชชา หัดผู้คนให้รู้ถึงสีล (แล รู้) อยู่ (รักษา) อุโปสถ (สีล) (๕๐๐/๒)
- โลกกนลว้า สุวัณณภูมิ พบโสณุตตร (พระโสณ พระอุตตร พระฌานีย พระภูริย พระมูนีย) ผู้ไปถึงเมืองช้างค่อม เรือเดินทางมาถึงเมืองทอง เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น ๑๔ (ค่ำ) ปีพุทธกาลลุล่วง (แล้ว) ๒๓๕ ปีไทยฉลู เชิญท่านอยู่วัดปุณณารามดำรงอริยสงฆพร้อมกันเช้าเทสน พรหมชาลสูตร คนลุมัคผลถึงสรณ บวชชายเป็นภิกขุพันคน ญิงชีร้อยคน พุทธกาลได้ ๒๓๖ (๒๑/๑) โลกกนลว้า ขุนเมืองพร้อมลูกตัวตวัน เมียก้านต้าเทวี ผู้ต้อนรับโสณ ฌานีย ภูริย อุตตร มูนีย กับ อมาตย อตุลย หมู่คน ๓๘ ผู้มาดอมกัน ให้อยู่ (บ้านข้าง) คู ข้างวัดปุณณาราม (๒๑/๒)
- ญาณจรณ ตัวญาณเมื่ออยู่ในอโสการามใหญ่โต มีอุโบสถ พระพุทธรูป ทั้งล้อธัมกวางหมอบ แลตัวสีหคู่อันหมายถึงอโสกดีคู่ดุ อันมีสีหคู่กวาง (และโค) (๒๗๑/๑) อโสการามกว้าง ๑๕๐ เส้น ยาว ๒๐๐ ภิกขุสองพันอยู่ประจำ อยู่ทางใต้ปาตลีปุตต ภิกขุชื่อ ติสสุเถร (เป็น) หัวหน้าตลอดราชคห แทนตัวโมคคัลลีอันเข้าอยู่ในสวนหลวงของ (พระเจ้า) อโสก (๒๗๑/๒)
- ญาณจรณ สู่ ตัมพปัณณิ (ลังกาสีหล) อโศกส่งมาดู มหินท อิฏฏิย อุตติย สัมพล ภัททสาล พร้อมอริฏฐ สังคายนาครั้งที่สี่ (ที่) ถูปาราม อนุราธ (บุรี) ด้วยตั้งคงมั่นแห่งพุทธสาสนาในลังกา (ทวีป) (๒๗๔/๑) ตัวพร้อมคณะ ถึง ตัมพปัณณิ ปีพุทธกาล (ล่วงแล้ว) ๒๔๐ เทวนัมปิยติสสเชิญ (พัก) ในอุโบสถ ฟัง เช้า เยน (กลาง) คืน ดูคณะแต่ง อัฏฐกถาวินัย (ปิฏก) สุตตันตปิฏก อภิธัมมปิฏกอีก (รวม) ปีหนึ่งกลับ (๒๗๔/๒)
- ญาณจรณ มา พาราณสี พร้อมคณะ ปี ๒๔๑ เดือนยี่ ขึ้น ๑ (ค่ำ) พักวิหารมูลคันธนี้ อันอโสกส้างเปนที่ (ระลึก) พุทธได้แสดงธัมมจักกับปวัตตนสูตต ให้ปัญจวัคคียคือ โกนธัญญ (โกณฑญฺญ รู้) แจ้ง (๒๗๖/๑) เมื่ออโสก ส้างมูลคันธ (วิหาร) ส้างหลัก (หิน) คู่ มีสือแจ้งอ่าน มีโคยืน (คู่) สีหคู่นอน กวางคู่หมอบ สือว้า ตรงนี้ พุทธแสดงธัมม ต่อปัญจวัคคีย (ชื่อ) อิสิปตนมิคทายวน อโสกให้ ในอภัยทั่วตัวมิคในนี้ (๒๗๖/๒)
- ญาณจรณ มา คยาสีล ม่อต้นโพธิ อัสสั(ตถ)รุกข ที่ (อันพุทธ) นั่งรู้ความจิง มีถูปวิหารใหญ่ โพธิ ๑๐ หรือ ๑๒ อ้อม ต้นแท้จิง โสณสั่งให้ตอนมาปลูกในเมืองทอง(สุวัณณภูมิ) (๒๗๒/๑) ให้ด้วงมาดูเหนหน่อใกล้ต้นควนด้วงไปขอต่อโมคคัลลีติสสก่อน เมื่อต้นเดือน ๓ พุทธกาล ๒๔๑ หน่อต้นอ่อนต้นเป็นขึ้น ตนควนเอามาเอง (๒๗๒/๒)
- ญาณจรโณ พร้อมด้วยคณะ เดินถอลุมพินี อโสกอธิราช สั่งวีตโสกเดินนำ มีสหภิกขุ คน ๑๒๒ ลุมพินี ที่คนรู้ ว่า พุทธบังเกิด มหามายาเ (ทวี) พักพึ่งสวนรัง นางออกลูกตรงนี้ ลุมพินี (๒๗๓/๑) อโสกส้างหินหลักสิลา ต้นหนึ่งล้อธัมม โคคู่ สีห มีสืออโสก ชื่อพราหมิน เขียน ว่า ในที่นี้ อโสกอภิสิตต ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๓๘ มาถึง ลุมพินี ที่อันพุทธเกิด พาฝูงคนพ้นทุก(ข) ญาณ มาปี ๒๔๒ เดือน ๖ (๒๗๓/๒)
- ญาณจรณ มากุสินารา เมืองพุทธนิพพาน เดือน ๓ ขึ้น ๑ ค่ำ พุทธกาล ๒๔๓ อโสกผู้มา สร้างตรง มกุฏพันธนเจดีย์ แลในสวนป่ารัง มีหลักหินมีสือว่า (๒๘๑/๑) พุทธมานิพพาน ที่นี้ ตัวอโสก ผู้มาถึงเนินป่ารัง ส้างสถูปนิพพาน ส้างสีหแลโค คู่หิน บนยอดเสา ญาณจรณมาเหน (๒๘๑/๒)
- “ข้อความสะดุดใจ” ดังที่ได้ยกมาพอเป็นตัวอย่างนี้ นำมาสู่การตั้งข้อสังเกตและนำมาซึ่งความสงสัยในเรื่อง ความเป็นไปได้ในการเดินทางไปสู่เมืองต่างๆ ระยะทาง ทิศทาง และระยะเวลาในการเดินทาง
- จนนำมาซึ่งการสร้างสมมติฐานใหม่ โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ “เมืองทอง-สุวัณณภูมิ” ซึ่งท่านเจ้าคุณอ่ำ ธมฺมทตฺโต ได้พากเพียรเสาะแสวงหาหลักฐานที่เป็น “วัตถุพยาน” ยืนยันว่า “ ความใน กเบื้องจารเป็นความจริง” และชี้ชัดได้ว่า “เมืองทอง-สุวัณณภูมิ อยู่ที่ จังหวัดราชบุรี”
- จากการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ทำให้ได้ข้อสมมติฐานใหม่เกิดขึ้นมาว่า แท้ที่จริงแล้ว แคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารก็ดี แคว้นโกศลของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดี
- รวมทั้งเมืองสำคัญต่างๆ ที่พระญาณจรณ ได้ไปนมัสการสังเวชนียสถานในสมัยพระเจ้าอโศก ไม่ว่าจะเป็นลุมพินี คยาสีล พาราณสี และกุสินารา อยู่ในแถบถิ่นที่เป็นที่ตั้งประเทศไทยและพม่านี่เอง
- หาได้อยู่ในประเทศอินเดียอย่างที่ได้เข้าใจกันมา ตามที่ได้มีนักโบราณคดีชาวอังกฤษ คือ ท่านเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม ประกาศให้ชาวโลกเข้าใจผิดๆ เมื่อไม่ถึง ๑๕๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง
- ผม ในนาม “ชุมนุมฟื้นธรรมฟื้นไทยแห่งยุคหลังกึ่งพุทธกาล” จึงขอยกย่อง กเบื้องจารนี้เป็น กเบื้องจาร..กุญแจไขปริศนา ถอดรหัส คืนประวัติศาสตร์ให้แผ่นดิน